เมนู

กมฺมนิโรธาย ความว่า แต่กรรมนั้นไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่การดับ
วัฏฏคามีกรรม. พึงทราบวินิจฉัย ในกรรมฝ่ายขาวดังต่อไปนี้ บทว่า กมฺมานํ
สมุทยาย
ความว่า เพื่อประโยชน์แก่การเกิดขึ้นแห่งวัฏฏคามีกรรม. บททั้งปวง
พึงทราบความโดยนัยนี้.
จบอรรถกถาปฐมนิทานสูตรที่ 9

10. ทุติยนิทานสูตร



ว่าด้วยเหตุเกิดแห่งกรรม 3 อย่าง



[552] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ 3 นี้ เพื่อความเกิดขึ้นพร้อม
มูลแห่งกรรม ต้นเหตุ 3 คืออะไรบ้าง คือความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรม
ทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะ (ความรักใคร่ พอใจ) ที่เป็นอดีต 1
ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็น
อนาคต 1 ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันท-
ราคะที่เป็นปัจจุบัน 1
ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะ
ที่เป็นอดีตอย่างไร ? คือบุคคลตรึกตรองไปถึงธรรมอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะ
ที่ล่วงไปแล้ว เมื่อตรึกตรองตามไป ความพอใจก็เกิดขึ้น ผู้เกิดความพอใจแล้ว
ก็ชื่อว่าถูกธรรมเหล่านั้นผูกไว้แล้ว เรากล่าวความติดใจนั้น ว่าเป็นสังโยชน์
(เครื่องผูก) ความพอใจเกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่ง
ฉันทราคะที่เป็นอดีตอย่างนี้แล

ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะ
ที่เป็นอนาคตอย่างไร ? คือบุคคลตรึกตรองไปถึงธรรมอันเป็นฐานแห่งฉันท-
ราคะที่ยังไม่มาถึง เมื่อตรึกตรองตามไป ความพอใจก็เกิดขึ้น ผู้เกิดความ
พอใจแล้ว ก็ชื่อว่าถูกธรรมเหล่านั้นผูกไว้แล้ว เรากล่าวความติดใจนั้น ว่าเป็น
สังโยชน์ ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะ
ที่เป็นอนาคตอย่างนี้แล
ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็น
ปัจจุบันอย่างไร คือบุคคลตรึกตรองถึงธรรมอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่
เกิดขึ้นจำเพาะหน้า เมื่อตรึกตรองตามไป ความพอใจก็เกิดขึ้น ผู้เกิดความ
พอใจแล้ว ก็ชื่อว่าถูกธรรมเหล่านั้นผูกไว้แล้ว เรากล่าวความติดใจนั้น ว่าเป็น
สังโยชน์ ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็น
ปัจจุบันอย่างนี้แล
ภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ 3 นี้แล เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ 3 นี้ เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมแห่ง
กรรม ต้นเหตุ 3 คืออะไร คือความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย
อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอดีต 1 ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรม
ทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอนาคต 1 ความพอใจไม่เกิดเพราะ
ปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบัน 1
ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันท-
ราคะที่เป็นอดีตอย่างไร ? คือบุคคลรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวของธรรมอันเป็น
ฐานแห่งฉันทราคะที่ล่วงแล้ว ครั้นรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวแล้ว กลับใจเสียจาก
เรื่องนั้น ครั้นกลับใจได้แล้ว คลายใจออก ก็เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา

ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็น
อดีตอย่างนี้แล
ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันท-
ราคะที่เป็นอนาคตอย่างไร ? คือบุคคลรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวของธรรมอันเป็น
ฐานแห่งฉันทราคะที่ยังไม่มาถึง ครั้นรู้ชัดซึ่งวิบากอัน ยืดยาวแล้ว กลับใจเสีย
จากเรื่องนั้น ครั้นกลับใจได้แล้ว คลายใจออก ก็เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา
ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็น
อนาคตอย่างนี้แล
ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันท-
ราคะที่เป็นปัจจุบันอย่างไร คือ บุคคลรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวของธรรมอัน
เป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เกิดขึ้นจำเพาะหน้า ครั้นรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวแล้ว
กลับใจเสียจากเรื่องนั้น ครั้นกลับใจได้แล้ว คลายใจออก ก็เห็นแจ้งแทงตลอด
ด้วยปัญญา ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันท-
ราคะที่เป็นปัจจุบันอย่างนี้แล.
ภิกษุทั้งหลาย นี้ต้นเหตุ 3 เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม.
จบทุติยนิทานสูตรที่ 10
จบสัมโพธิวรรคที่ 1

อรรถกถาทุติยนิทานสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในทุติยนิทานสูตรที่ 10 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า กมฺมานํ ได้แก่ กรรมที่เป็นวัฏฏคามีนั่นเอง. บทว่า
ฉนฺทราคฏฺฐานิเย ความว่า เป็นเหตุแห่งฉันทราคะ. บทว่า อารพฺภ
ได้แก่อาศัย คือหมายเอา เจาะจง. บทว่า ฉนฺโท ได้แก่ความพอใจด้วย
อำนาจแห่งตัณหา. บทว่า โย เจตโส สาราโค ความว่า ความกำหนัด
ความยินดีแห่งจิต ความที่จิตกำหนัดแล้ว อันใด ความกำหนัดแห่งจิตนี้
เราตถาคตกล่าวว่า เป็นสังโยชน์ คือเป็นเครื่องผูก.
พึงทราบวินิจฉัยในธรรมฝ่ายขาว ดังต่อไปนี้ บทว่า กมฺมานํ
ได้แก่กรรมที่เป็นวิวัฏฏคามี (กรรมที่เลิกหมุนเวียน). บทว่า ตทภินิวตฺเตติ
ความว่า ให้ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งราคะเป็นต้น และวิบากของธรรมนั้น
หมุนกลับเฉพาะ คือว่า เมื่อใดเขารู้ คือ เข้าใจวิบาก โดยเป็นที่ตั้ง
(แห่งฉันทราคะเป็นต้น) เมื่อนั้น เขาจะยังธรรมเหล่านั้นด้วย วิบากนั้นด้วย
ให้หมุนกลับเฉพาะ. อนึ่ง ด้วยบทนี้ พระองค์ตรัสวิปัสสนาไว้แล้ว. ด้วยบทว่า
ตทภินิวฏฺเฏตฺวา นี้ ตรัสมรรคไว้. แต่ด้วยบทว่า เจตสา อภิวิราเชตฺวา
นี้ ตรัสมรรคไว้อย่างเดียว. บทว่า ปญฺญาย อติวิชฺฌ ปสฺสติ ความว่า
เห็นทะลุ ปรุโปร่ง ด้วยมรรคปัญญา พร้อมด้วยวิปัสสนา. ในทุก ๆ บท
พึงทราบความอย่างนี้ ก็ในพระสูตรนี้ ตรัสไว้ทั้งวัฏฏะ และวิวัฏฏะฉะนี้แล.
จบทุติยนิทานสูตรที่ 10
จบสัมโพธิวรรควรรณนาที่ 1